- FacebookFacebook
- XTwitter
ASEAN Roundup ประจำวันที่ 24-30 สิงหาคม 2568
- เวียดนามเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐด้านการศึกษาเป็น 20%
- สิงคโปร์ส่งเสริมประชาชนให้มีความสามารถด้าน AI เพื่อก้าวหน้าในเศรษฐกิจดิจิทัล
- มาเลเซียเปิดตัวชิป AI รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศ
- เวียดนามอนุมัติโครงการนำร่องแปลงสินทรัพย์ดิจิทัล
- รัฐบาลเวียดนามยกเลิกผูกขาดการผลิตทองคำแท่ง
- สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีน้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพาราให้อินโดนีเซีย
- สหรัฐฯ เริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดและการอุดหนุนโซลาร์เซลล์จาก อินโดนีเซีย- ลาว
เวียดนามเพิ่มการใช้จ่ายของรัฐด้านการศึกษาเป็น 20%

เวียดนามจะเพิ่มการใช้จ่ายประจำปีของรัฐด้านการศึกษาและการฝึกอบรมเป็นอย่างน้อย 20% ของการใช้จ่ายทั้งหมดของรัฐ ตามมติที่ออกโดยคณะกรรมการกรมการเมือง(Politburo)เมื่อเร็วๆ นี้
มตินี้หรือ Resolution 71 ไม่เพียงแต่เน้นย้ำบทบาทของการศึกษาและการฝึกอบรมในฐานะนโยบายระดับชาติที่สำคัญเท่านั้น แต่ยังกำหนดเป้าหมายและแนวทางแก้ไขที่เฉพาะเจาะจงและเป็นไปได้พร้อมแผนงานที่ชัดเจน ตั้งแต่โครงการเป้าหมายระดับชาติด้านการศึกษา การจัดตั้งกองทุนทุนการศึกษาแห่งชาติ ไปจนถึงนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมการศึกษาแบบทั่วถึงและจัดหาตำราเรียนแบบรวมศูนย์ฟรีให้กับนักเรียนภายในปี 2573 แนวทางแก้ไขเหล่านี้สะท้อนถึงความต้องการของความเป็นจริงโดยตรง โดยเฉพาะความต้องการของประชาชนในการศึกษาที่เป็นธรรมและทันสมัย
มติยังระบุและกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาคอขวดอย่างชัดเจน เช่น ช่องว่างด้านคุณภาพระหว่างภูมิภาค นโยบายที่ไม่เพียงพอสำหรับครู หรือการขาดเอกภาพในหลักสูตรและตำราเรียน แนวทางของมติเน้นการผสมผสานและเปิดกว้าง สร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงความรู้ ขณะเดียวกันก็เปิดพื้นที่ให้ท้องถิ่นเชื่อมโยงการศึกษากับบริบทในชีวิตจริง
นอกจากนี้มติแสดงให้เห็นถึงการตามติดกระแสของยุคสมัยที่การศึกษาต้องเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เศรษฐกิจสังคม และตลาดแรงงาน แนวทางใหม่นี้ช่วยให้มีรากฐานทางการเมืองและกฎหมายที่แข็งแกร่ง เพื่อทำให้การศึกษาเป็นพลังขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ
เหงียน ถิ เวียด งา กรรมการในคณะกรรมาธิการวัฒนธรรมและสังคมแห่งรัฐสภา กล่าวว่า การใช้จ่ายงบประมาณของรัฐด้านการศึกษาและการฝึกอบรมเป็นเรื่องที่น่ากังวลอยู่เสมอ และมักก่อให้เกิดข้อกังวลมากมาย ในมติที่ 71 คณะกรรมการกรมการเมืองได้แสดงจุดยืนอย่างชัดเจนถึงการให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับสาขานี้ โดยถือว่าการศึกษาเป็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ ไม่ใช่ค่าใช้จ่ายปกติ แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ทั้งในด้านมุมมองและการปฏิบัติ เมื่อการศึกษาได้รับการยอมรับว่าเป็นปัจจัยสำคัญต่ออนาคตของประเทศชาติ
ที่ผ่านมาจากรายงานกิจกรรมทางการศึกษาและการดำเนินงานงบประมาณด้านการศึกษาของรัฐบาลในปี 2565 ระบุว่า รายจ่ายประจำในภาคการศึกษาปีนี้อยู่ที่ 275,709 พันล้านด่อง จากงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด 1,784,600 พันล้านดอง คิดเป็น 15.45% ของรายจ่ายงบประมาณทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงประสิทธิภาพการใช้งบประมาณด้วย แม้ว่าสัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณเพื่อการศึกษาจะสูง แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่สมดุล ยังคงมีการกระจายตัว ขาดการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ด้อยโอกาส นโยบายค่าตอบแทนครู หรือการพัฒนาคุณภาพการฝึกอบรม
มติที่ 71 กำหนดให้ต้องเพิ่มการใช้จ่ายและหาวิธีการจัดสรรและติดตามผลอย่างสร้างสรรค์ ต้องมีการกระจายอำนาจที่ชัดเจน มีกลไกที่โปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่องบประมาณทุกบาททุกสตางค์ ขณะเดียวกัน จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างสังคม ระดมทรัพยากรทางกฎหมายจากชุมชน ภาคธุรกิจ ทุนการศึกษา และทุนการศึกษาอย่างเข้มแข็ง งบประมาณด้านการศึกษาในอนาคตไม่เพียงแต่ต้องใหญ่ขึ้นเท่านั้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น เข้าถึงนักเรียน ครู และนักเรียนระดับชั้นสำคัญได้อย่างแท้จริง
ในรายละเอียด รัฐบาลจะกำหนดเป้าหมายโครงการระดับชาติในการปรับปรุงและพัฒนาคุณภาพการศึกษาและการฝึกอบรมในช่วงปี 2569-2578 รวมไปถึงจะขยายโครงการสนับสนุนทางการเงินและสินเชื่อเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีนักเรียนคนใดต้องหยุดเรียนอันเนื่องจากข้อจำกัดทางการเงิน
รัฐจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการใช้ที่ดิน ลดค่าเช่าที่ดิน และภาษีที่ดินจากสถานศึกษาภายในประเทศ รวมทั้งยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับสถานศึกษาของรัฐและสถานศึกษาเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร
นอกจากนี้จะมีกลไกและนโยบายที่เข้มแข็งเพื่อส่งเสริมให้องค์กรและวิสาหกิจต่างๆ ลงทุนด้านการพัฒนาการศึกษาและการฝึกอบรม
โดยคาดว่าภายในปี 2578 สัดส่วนนักศึกษาที่เรียนวิทยาศาสตร์พื้นฐาน วิศวกรรมศาสตร์ และเทคโนโลยี จะสูงถึงอย่างน้อย 35% ประกอบด้วยนักศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาอย่างน้อย 6,000 คน และนักศึกษาที่เรียนในโครงการดาวเด่น(talent programs) 20,000 คน
ดัชนีทุนมนุษย์และการวิจัยที่มีส่วนสนับสนุนดัชนีนวัตกรรมระดับโลก (GII) อยู่ในระดับเดียวกับดัชนีของประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง ภายในปี 2578 เวียดนามตั้งเป้าที่จะจัดการศึกษาระดับมัธยมศึกษาให้ทั่วถึงและยกระดับทุนมนุษย์และดัชนีการวิจัยเพื่อให้ GII สูงกว่าค่าเฉลี่ยของประเทศที่มีรายได้ปานกลางระดับสูง
ทั้งนี้คาดว่าจำนวนงานตีพิมพ์ทางวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติจะเพิ่มขึ้นปีละ 12% ในขณะที่จำนวนการจดทะเบียนสิทธิบัตรและใบรับรองการคุ้มครองสิทธิบัตรจะเพิ่มขึ้นปีละ 16%
ภาคการศึกษาและการฝึกอบรมมุ่งมั่นที่จะให้มีสถาบันอุดมศึกษาอย่างน้อย 8 แห่งติดอยู่ใน 100 มหาวิทยาลัยชั้นนำของเอเชีย และสถาบันอุดมศึกษาอย่างน้อย 1 แห่งติดอยู่ใน 100 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก
ภายในปี 2588 เวียดนามตั้งเป้าที่จะติดใน 20 อันดับแรกของระบบการศึกษาที่ดีที่สุดของโลก
สิงคโปร์ส่งเสริมประชาชนให้มีความสามารถด้าน AI เพื่อก้าวหน้าในเศรษฐกิจดิจิทัล

ในการกล่าวสุนทรพจน์ที่งาน Tech3 Forum ของ Singapore Computer Society เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาดิจิทัลและสารสนเทศของสิงคโปร์ นางโจเซฟิน เตียว ได้สรุปความก้าวหน้าและการตั้งความหวังของสิงคโปร์ในการนำ AI มาใช้เพื่อเสริมสร้างนวัตกรรม การปรับเปลี่ยนอุตสาหกรรม และความพร้อมของกำลังแรงงาน โดยเน้นที่การเร่งการนำมาใช้ การสร้างขีดความสามารถ และการบ่มเพาะบุคลากรที่มีความสามารถสำหรับยุค AI
AI ไม่ใช่แนวคิดที่ไกลตัวอีกต่อไป แต่เป็นความจริงในชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต การทำงาน และปฏิสัมพันธ์ของผู้คน ยุทธศาสตร์ AI แห่งชาติฉบับปรับปรุงใหม่ของสิงคโปร์ได้วางรากฐานโดยมุ่งเน้นไปที่จริยธรรม การกำกับดูแล การสร้างขีดความสามารถ และการเตรียมความพร้อมของบุคลากร นับแต่นั้นมา การสนทนาได้เปลี่ยนจากการเตรียมการไปสู่การกระตุ้นและเร่งรัด ซึ่งเน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของการนำ AI มาใช้อย่างแพร่หลาย
แนวทางนี้มีสามกลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มผู้สร้าง AI(AI Creators) ผู้ผลักดันขีดจำกัดของนวัตกรรม กลุ่มผู้ปฏิบัติงาน AI(AI Practitioners) ผู้ออกแบบและนำโซลูชันไปใช้ และกลุ่มผู้ใช้ AI (AI Users)ผู้ประยุกต์ใช้เครื่องมือ AI ในชีวิตประจำวัน กลุ่มเหล่านี้ร่วมกันสร้างระบบนิเวศที่เป็นหลักว่า AI จะสร้างผลกระทบเชิงบวกทั้งทางธุรกิจและสังคม
ปัจจุบันมีศูนย์ความเป็นเลิศด้าน AI มากกว่า 40 แห่งทั่วสิงคโปร์ ซึ่งเป็นศูนย์กลางที่ทีมงานสามารถคิดค้นนวัตกรรมและทดสอบโซลูชันที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมของตนเองได้ ผู้ปฏิบัติงานด้าน AI ที่ขยายมากขึ้นช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับความเชี่ยวชาญในการนำโซลูชันไปใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับกลุ่มคนทำงานในวงกว้างขึ้น แผนเส้นทางอาชีพ(Jobs Transformation Maps)ได้มีการปรับใหม่เพื่อสะท้อนให้เห็นว่า AI กำลังมีผลต่อบางอาชีพ ในขณะที่โปรแกรม SkillsFuture ครอบคลุมเครื่องมือ AI เชิงสร้างสรรค์
สัญญาณเริ่มต้นของการนำไปใช้งานมีแนวโน้มที่ดี จากผลการวิจัยในรายงานเศรษฐกิจดิจิทัลของสิงคโปร์(Singapore Digital Economy Report)ฉบับที่กำลังจะเผยแพร่ พบว่าพนักงาน 3 ใน 4 คนใช้เครื่องมือ AI เป็นประจำอยู่แล้ว โดยส่วนใหญ่รายงานว่าประสิทธิภาพและคุณภาพงานดีขึ้น ที่สำคัญกว่านั้น นายจ้างกำลังให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะ โดย 2 ใน 3 ของบริษัทที่สำรวจวางแผนที่จะฝึกอบรมพนักงานให้ใช้ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
เพื่อขับเคลื่อนการใช้งานให้ลึกและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น สิงคโปร์กำลังมุ่งเน้นการปลูกฝังบุคลากรด้าน AI “สองภาษา” ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เชี่ยวชาญทั้งในด้านความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านและภาษา AI วิศวกร นักบัญชี นักออกแบบ หรือช่างเทคนิคที่มีทักษะ AI สามารถทำงานร่วมกับผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพื่อปลดล็อกประสิทธิภาพใหม่ๆ สร้างสรรค์โซลูชันที่เป็นนวัตกรรม และให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า คาดว่าบุคลากรเหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความมั่นใจว่าจะมีการนำไปใช้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกอุตสาหกรรม
ขณะนี้มีโครงการริเริ่มหลายโครงการที่กำลังดำเนินการเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้ องค์กรต่างๆ รวมถึงธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม จะได้รับการสนับสนุนในการนำโซลูชันที่ขับเคลื่อนด้วย AI มาใช้ โดยมีการฝึกอบรมรวมอยู่ในแพ็คเกจการใช้งาน
โปรแกรมเรือธงอย่าง TechSkills Accelerator (TeSA) จะยังคงช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ใช่ช่างเทคนิคมีความคล่องแคล่วด้าน AI ขณะเดียวกันก็สนับสนุนบุคลากรด้านเทคโนโลยีให้มีความเชี่ยวชาญยิ่งขึ้นและพัฒนาเป็นผู้ประสานงานระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ซับซ้อน
แรงงานด้านเทคโนโลยีของสิงคโปร์เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยขยายตัวถึง 25% ระหว่างปี 2562 ถึง 2567 โดยปัจจุบันมีผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมที่ไม่ใช่เทคโนโลยีมากกว่าในบริษัทเทคโนโลยีแบบเดิม แสดงให้เห็นว่าการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงทุกภาคส่วน โดยผู้เชี่ยวชาญที่ผสานรวมทักษะพื้นฐานและความเชี่ยวชาญด้านปัญญาประดิษฐ์จะสร้างผลที่ใหญ่ขึ้น
รัฐบาลยังทำงานร่วมกับพันธมิตรจากภาคการศึกษา การฝึกอบรม และภาคอุตสาหกรรมต่างๆ เพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้ นำเสนอโชว์เคส และสร้างความมั่นใจว่าเส้นทางการฝึกอบรมสอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม ยกตัวอย่างเช่น ได้เปิดตัว Cloud Skills Pathway ใหม่ เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถของบุคลากรในด้านคลาวด์คอมพิวติ้ง ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ขับเคลื่อน AI และเศรษฐกิจดิจิทัล
นอกเหนือจากทักษะทางเทคนิคแล้ว การมีส่วนร่วมและการสร้างชุมชนยังคงเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ โครงการริเริ่มเพื่อสนับสนุนผู้หญิงในด้านเทคโนโลยีและส่งเสริมให้เยาวชนมีส่วนร่วมในการพัฒนานวัตกรรม ได้รับความสนใจอย่างล้นหลาม ตั้งแต่โครงการให้คำปรึกษาไปจนถึงโครงการที่นำโดยนักศึกษาเพื่อนำ AI ไปประยุกต์ใช้กับความท้าทายในโลกแห่งความเป็นจริง ความพยายามเหล่านี้เน้นย้ำถึงความหลากหลายของความเห็นที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งกำลังกำหนดอนาคตดิจิทัลของสิงคโปร์
ในขณะที่สิงคโปร์กำลังเดินหน้าความมุ่งหวังด้าน AI เป้าหมายหลักยังคงชัดเจน นั่นคือการสร้างระบบนิเวศที่เปิดโอกาสให้ทั้งผู้สร้าง ผู้ปฏิบัติงาน และผู้ใช้งาน ต่างได้รับการส่งเสริมในการสร้างสรรค์นวัตกรรม ปรับตัว และเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการส่งเสริมความคล่องแคล่วด้าน AI ในทุกภาคอุตสาหกรรมและชุมชน สิงคโปร์ไม่เพียงแต่มุ่งมั่นที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขัน แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ให้กับประชาชนในยุคที่เทคโนโลยีกำลังเปลี่ยนแปลงไป
มาเลเซียเปิดตัวชิป AI รุ่นแรกที่ผลิตในประเทศ

มาเลเซียก้าวสู่การแข่งขันด้านปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ระดับโลกอย่างกล้าหาญ ด้วยการเปิดตัวโปรเซสเซอร์ตัวแรกที่ออกแบบภายในประเทศ ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่ามาเลเซียต้องการเป็นมากกว่าแค่ผู้เล่นหลักในห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์
MARS1000 ซึ่งพัฒนาโดย SkyeChip ผู้ผลิตชิปจากกัวลาลัมเปอร์ ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ในฐานะ edge AI processor ที่สามารถประมวลผลข้อมูลบนอุปกรณ์โดยตรงไม่ผ่านระบบคลาวด์หรือเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ตัวแรกของมาเลเซีย
MARS1000 ต่างจาก GPU (Graphics Processing Unit หน่วยประมวลกราฟิก)ของยักษ์ใหญ่จากสหรัฐอเมริกาอย่าง Nvidia ซึ่งใช้พลังงานมหาศาลในการขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ ตรงที่ออกแบบมาสำหรับงานที่เล็กกว่าและฉลาดกว่า ซึ่งสามารถประมวลผลภายในอุปกรณ์ต่าง ๆเช่น รถยนต์ หุ่นยนต์ เครื่องจักรในโรงงาน และอุปกรณ์เชื่อมต่อต่างๆ
มาเลเซียเป็นที่รู้จักในฐานะผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์มานานหลายทศวรรษ ในด้านบรรจุภัณฑ์ การทดสอบ และการประกอบชิ้นส่วนให้กับบริษัทข้ามชาติอย่าง Intel และ Infineon แต่แทบจะไม่ได้รับการยกย่องในด้านความก้าวหน้าด้านการออกแบบเลย
MARS1000 จึงมีความสำคัญ เพราะส่งสัญญาณถึงการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายระดับชาติ จากการสนับสนุนอยู่เบื้องหลังไปสู่นวัตกรรมแนวหน้า
แม้ว่า edge processor จะไม่ทรงพลังเท่าชิป Nvidia ขั้นสูง แต่ก็ยังเป็นก้าวสำคัญทางเทคโนโลยีสำหรับมาเลเซีย ซึ่งกำลังขยายบทบาทที่มากขึ้นในการแข่งขันด้าน AI ระดับโลก
มาเลเซียมีฐานในภาคการผลิตชิปอยู่แล้ว และไม่นานมานี้ได้เพิ่มการดำเนินการและการลงทุนด้าน AI โดยได้ประกาศจัดตั้งสำนักงาน AI แห่งชาติมาเลเซียในปลายปี 2567 ซึ่งเป็นหน่วยงานที่วางแผนที่จะมุ่งเน้นไปที่ 7 ด้าน รวมถึงการเร่งนำ AI มาใช้ และผลักดันกรอบการกำกับดูแลการนำ AI มาใช้ และจริยธรรมด้าน AI
SkyeChip ก่อตั้งขึ้นในปี 2562 และสั่งสมความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมชิปประสิทธิภาพสูง ปัจจุบัน บริษัทกำลังพิจารณาการเสนอขายหุ้นต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) โดยได้รับแรงหนุนจากรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและความสนใจของนักลงทุนในฮาร์ดแวร์ AI ที่เพิ่มสูงขึ้น
รัฐบาลก็กำลังทุ่มเงินมหาศาลเช่นกัน นายกรัฐมนตรีอันวาร์ อิบราฮิม ได้ให้คำมั่นที่จะทุ่มเงิน 25,000 ล้านริงกิต (ประมาณ 6,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อกระตุ้นภาคอุตสาหกรรมชิปของมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายตั้งแต่การออกแบบชิปและการผลิตเวเฟอร์ ไปจนถึงการขยายศูนย์ข้อมูลที่พร้อมรองรับ AI
ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Microsoft และ Oracle ได้ทุ่มเงินหลายพันล้านเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลใหม่ในประเทศแล้ว
การผลักดันของมาเลเซียเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่การแข่งขันในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังดุเดือด สิงคโปร์กำลังกลายเป็นศูนย์กลางการฝึกอบรมโมเดล AI อย่างรวดเร็ว เวียดนามและไทยกำลังดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้าสู่ตลาดบรรจุภัณฑ์และการออกแบบ และไต้หวันและเกาหลีใต้ยังคงครองการผลิตขั้นสูงอย่างเหนียวแน่น
ข้อได้เปรียบของมาเลเซียอาจอยู่ที่ความสามารถในการผสานรากฐานการผลิตที่แข็งแกร่งเข้ากับบุคลากรด้านการออกแบบรุ่นใหม่ แต่ก็ยังมีความท้าทายรออยู่ข้างหน้า
สถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์มีท่าทีที่ตึงเครียด สหรัฐฯ กำลังพิจารณาควบคุมการส่งออกชิป AI ไปยังมาเลเซียและไทยอย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น ด้วยความกังวลว่าผู้ลักลอบนำเข้าจะใช้ทั้งสองประเทศเป็นจุดแวะพักเพื่อขนส่งชิปที่ถูกจำกัดไปยังจีน
กัวลาลัมเปอร์ได้ดำเนินการด้วยการเพิ่มการตรวจสอบการส่งออกที่เข้มงวดขึ้น และย้ำว่าจะไม่อนุญาตให้ประเทศกลายเป็นศูนย์กลางการค้าผิดกฎหมาย
กระทรวงการลงทุน การค้า และอุตสาหกรรมของมาเลเซียประกาศเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคมว่า การค้าสำหรับชิป AI ของสหรัฐฯ จะต้องมีใบอนุญาตหมายความว่าบุคคลและบริษัทต่างๆ จะต้องแจ้งให้รัฐบาลมาเลเซียทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 30 วัน หากวางแผนที่จะส่งออกหรือขนส่งชิป AI ที่ผลิตในสหรัฐฯ
แผนการเสนอขายหุ้น IPO ของ SkyeChip อาจกำหนดทิศทางให้กับสตาร์ทอัพอื่นๆ ของมาเลเซียที่ต้องการบุกเบิกตลาดการออกแบบชิประดับโลก
นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมเตือนว่าการแข่งขันโดยตรงกับ Nvidia, AMD หรือ Intel นั้นอาจจะเป็นไปไม่ได้ แต่มาเลเซียไม่จำเป็นต้องชนะการแข่งขันทั้งหมด เพราะแม้ส่วนแบ่งตลาดจะเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลกระทบอย่างมากต่อเศรษฐกิจของมาเลเซีย
เวียดนามอนุมัติโครงการนำร่องแปลงสินทรัพย์ดิจิทัล

ดานังได้อนุมัติโครงการนำร่องแรกของเวียดนามที่ช่วยให้นักท่องเที่ยวสามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นเงินด่องเวียดนามและแปลงเงินด่องเวียดนามกลับเป็นเงินดิจิทัล
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 คณะกรรมการประชาชนดานังได้อนุมัติโครงการ Basal Pay ให้ดำเนินการภายในพื้นที่ทดลองเทคโนโลยีทางการเงินของเมือง โครงการนี้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนเพื่ออำนวยความสะดวกในการโอนเงินภายในประเทศสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ
ทางการกล่าวว่า การอนุญาตครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เวียดนามอนุญาตให้มีโครงการนำร่องเกี่ยวกับการแปลงสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งถือเป็นก้าวใหม่ในแนวทางของประเทศด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีทางการเงิน
Basal Pay พัฒนาโดย AlphaTrue Solutions โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขข้อจำกัดที่มีอยู่ในวิธีการชำระเงินสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติในเวียดนาม
แอปพลิเคชันนี้ช่วยให้สามารถแปลงสินทรัพย์ดิจิทัลและสกุลเงินทั่วไปได้โดยตรงภายในไม่กี่วินาที โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางหลายราย ผู้พัฒนาระบุว่าต้นทุนการทำธุรกรรมสามารถลดลงได้ประมาณ 30% เมื่อเทียบกับวิธีการทั่วไป
การทดลองนี้จะมีเวลาดำเนินการ 36 เดือนภายใต้ 5 ระยะ ได้แก่ การพัฒนาแพลตฟอร์ม การดำเนินการในขอบเขตจำกัด การขยายขนาด การประเมิน และการปรับใช้อย่างเป็นทางการ
กระบวนการทั้งหมดจะได้รับการดูแลร่วมกันโดยคณะกรรมการประชาชนดานังและกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อให้แน่ใจว่าเป็นไปตามกฎหมายและตรวจยืนยันความเป็นไปได้ในการบูรณาการบล็อคเชนเข้ากับระบบการเงินแบบเดิม
โซลูชันนี้ยังสอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยกำหนดให้เก็บรักษาข้อมูลระบุตัวตนของผู้ส่งและผู้รับไว้อย่างน้อย 5 ปี ซึ่งช่วยให้หน่วยงานกำกับดูแลสามารถตรวจสอบกระแสเงินสด ป้องกันการฟอกเงินและการสนับสนุนทางการเงินแก่การก่อการร้าย และเพิ่มความโปร่งใสทางการเงิน
การอนุมัติโครงการนี้มีขึ้นในขณะที่ดานังกำลังดำเนินการส่งเสริมการพัฒนารูปแบบทางการเงินดิจิทัลเพื่อดึงดูดการลงทุนและส่งเสริมธุรกิจสตาร์ทอัพ และดานังยังได้รับการกำหนดให้เป็นหนึ่งในสองเมืองที่จะพัฒนาเป็นศูนย์กลางทางการเงินระหว่างประเทศ โดยมีกลไกและนโยบายพิเศษ
รัฐบาลเวียดนามยกเลิกผูกขาดการผลิตทองคำแท่ง

รัฐบาลได้ยกเลิกการผูกขาดการผลิตทองคำแท่ง และเปิดไฟเขียวให้กับภาคเอกชนที่มีทรัพยากรและความเชี่ยวชาญเพียงพอในการผลิต
กฎหมายที่ออกเมื่อวันอังคาร(26 สิงหาคม 2568) กำหนดให้ธนาคารกลางเวียดนามออกใบอนุญาตให้กับบริษัทที่มีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ รวมถึงใบอนุญาตสำหรับการซื้อขายทองคำแท่ง
กรณีที่เป็นธนาคารพาณิชย์ต้องมีทุนจดทะเบียนอย่างน้อย 50 ล้านล้านด่อง (1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ) จึงจะผ่านเกณฑ์ ในขณะที่ธุรกิจอื่นๆ ต้องมีทุนจดทะเบียน 1 ล้านล้านด่อง
ผู้ยื่นขอต้องไม่อยู่ภายใต้บทลงโทษทางปกครองจากการฝ่าฝืนกฎหมายการค้าทองคำ โดยธนาคารกลางเวียดนามจะเป็นผู้กำหนดขั้นตอนและเอกสารประกอบการขอใบอนุญาตการผลิต
ผู้ผลิตที่ได้รับอนุญาตจะต้องเปิดเผยมาตรฐาน น้ำหนัก ความบริสุทธิ์ และการรับประกันผลิตภัณฑ์ และต้องเก็บรักษาบันทึกวัตถุดิบ กำหนดเวลาการผลิต และผลลัพธ์ให้ครบถ้วน รวมทั้งต้องรายงานข้อมูลต่อธนาคารกลางเป็นประจำ
ธุรกิจที่ซื้อขายทองคำแท่งต้องแสดงราคาต่อสาธารณะและทำธุรกรรมโดยตรงกับลูกค้าโดยไม่ต้องผ่านคนกลาง ต้องดูแลแน่ใจว่าการทำธุรกรรมมีความปลอดภัย ตลอดจนต้องจัดเก็บข้อมูลประจำตัวลูกค้า หมายยเลขผู้เสียภาษี และมูลค่าธุรกรรม และรายงานข้อมูลนี้แก่ธนาคารกลาง
ปัจจุบันมีบริษัท 38 แห่ง รวมถึงธนาคาร ที่ได้รับอนุญาตให้ซื้อขายทองคำแท่ง แต่มีเพียงไม่กี่แห่ง เช่น Phu Nhuan Jewelry, DOJI, Saigon Jewelry Company, Vietcombank, VPBank, Techcombank, BIDV, MB, VietinBank และ Agribank ที่ปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านเงินทุนได้
กฎหมายยังกำหนดให้ธุรกรรมทองคำมูลค่า 20 ล้านด่องขึ้นไปต่อวันโดยลูกค้ารายเดียว จะต้องชำระเงินผ่านบัญชีธนาคารเพื่อให้สามารถติดตามสถานะได้
สหรัฐฯ ยกเว้นภาษีน้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพาราให้อินโดนีเซีย

สหรัฐฯ ตกลงในหลักการที่จะยกเว้นน้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพาราของอินโดนีเซียจากที่ต้องเสียภาษีนำเข้า 19% ที่บังคับใช้ภายใต้มาตรการการค้าของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เมื่อต้นเดือนนี้ นายแอร์ลังกา ฮาร์ตาร์โต รัฐมนตรีประสานงานด้านเศรษฐกิจ กล่าวเมื่อวันอังคารที่ 26 สิงหาคม 2568
อย่างไรก็ตาม การยกเลิกจะมีผลบังคับใช้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้าย ซึ่งยังไม่ได้กำหนดไว้ นายแอร์ลังกาซึ่งเป็นหัวหน้าคณะเจรจาการค้าอินโดนีเซียกล่าวในการให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ส
“ประเด็นสำคัญของการยกเว้นภาษีนี้มีการตกลงสำหรับสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในสหรัฐฯ เช่น น้ำมันปาล์ม โกโก้ และยางพารา โดยภาษีศุลกากรจะอยู่ที่ศูนย์หรือใกล้เคียงศูนย์” นายแอร์ลังกากล่าว
ในระหว่างการเจรจา นายแอร์ลังกา กล่าวว่ารัฐบาลได้หารือถึงการลงทุนของสหรัฐฯ ในโครงการจัดเก็บเชื้อเพลิง โดยร่วมมือกับกองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติ (Danantara) ของอินโดนีเซีย และบริษัทพลังงานของรัฐ Pertamina
อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลกและซัพพลายเออร์ยางพารารายสำคัญ เป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่บรรลุข้อตกลงภาษีศุลกากรเบื้องต้นกับทรัมป์ในเดือนกรกฎาคม อย่างไรก็ตาม ต่อมาอินโดนีเซียก็ถูกเรียกเก็บภาษีนำเข้า 19% ท่ากับไทยและมาเลเซีย และต่ำกว่า 20% ของเวียดนามเล็กน้อย
เพื่อบรรเทาปัญหา อินโดนีเซียได้เสนอที่ลงทุนเป็นเงินหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในสหรัฐฯ ควบคู่ไปกับการซื้อน้ำมันดิบ ก๊าซ LPG เครื่องบิน และสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ รวมทั้งยังให้คำมั่นที่จะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ เกือบทั้งหมดที่เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียในอัตราเกือบศูนย์
นายแอร์ลังกา กล่าวว่า ความชัดเจนในเรื่องภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ประกอบกับความคืบหน้าในการเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีกับสหภาพยุโรปที่กำลังดำเนินอยู่ อาจช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงทุน และช่วยให้อินโดนีเซียบรรลุเป้าหมายการเติบโต 5.4%ในปี 2569 เพิ่มขึ้นจากประมาณ 5%ในปีนี้
“ทั้สองข้อตกลงนำมาสู่การมีมุมมองเชิงบวกในตลาดโลก เพราะนักลงทุนส่วนใหญ่กำลังมองหาความแน่นอน และอินโดนีเซียเป็นหนึ่งในประเทศที่มอบความแน่นอนให้กับโลก” นายแอร์ลังกากล่าว
รัฐบาลยังดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศเพื่อขยายกระบวนการปลายน้ำของสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ เช่นเดียวกับที่เคยมีความสำเร็จในการดึงดูดเงินทุนจากจีนเข้าสู่โครงการนิกเกิล
รัฐบาลได้เน้นย้ำถึงโอกาสใหม่ๆ ในการแปรรูปทรายซิลิก้าจากแหล่งธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการผลิตแผงโซลาร์เซลล์และแผ่นเวเฟอร์เซมิคอนดักเตอร์
สหรัฐฯ เริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดและการอุดหนุนแผงโซลาร์จากอินโดนีเซีย-ลาว

กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้เริ่มการไต่สวนการทุ่มตลาด (Antidumping:AD) และการอุดหนุน (Countervailing duty:CVD) ต่อแผงโซลาร์เซลล์ที่ทำจากผลึกซิลิคอน(crystalline silicon PV cells) จาก อินโดนีเซีย ลาว และอินเดีย การไต่สวนนี้เกิดขึ้นหลังจากการยื่นคำร้องของผู้ผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ในสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึง First Solar และ Qcells
ส่วนต่างจากการทุ่มตลาด(ส่วนต่างระหว่างมูลค่าปกติและราคาส่งออก) ที่ถูกกล่าวหาคือ 94.36% ของอินโดนีเซีย 123.12-190.12% ของลาว และ 123.04% ของอินเดียการนำเข้าของสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านี้พุ่งสูงขึ้นระหว่างปี 2565-2567 โดยอินเดียส่งออก 2.3 กิกะวัตต์ในปี 2567 ส่วนการส่งออกของลาวเพิ่มขึ้นจาก 45 เมกะวัตต์ (ปี 2566) เป็นเกือบ 2 กิกะวัตต์ (ปี 2567)
คณะกรรมาธิการการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จะออกคำตัดสินเบื้องต้นภายในวันที่ 2 กันยายน 2568 การดำเนินการนี้ต่อเนื่องจากภาษี AD/CVD ที่เคยบังคับใช้กับซัพพลายเออร์พลังงานแสงอาทิตย์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มาก่อน
ปัจจุบัน กำลังการผลิตเซลล์แสงอาทิตย์ของสหรัฐฯ (2 กิกะวัตต์ต่อปี) ต่ำกว่ากำลังการผลิตโมดูล (มากกว่า 50 กิกะวัตต์ต่อปี) การไต่สวนนี้เกิดขึ้นพร้อมกับการสิ้นสุดระยะเวลาของเครดิตภาษีพลังงานแสงอาทิตย์ภายใต้ร่างกฎหมาย “One Big, Beautiful Bill” ที่ออกในเดือนกรกฎาคม 2568
Related posts:
- ASEAN Roundup สิงคโปร์ลุยขับเคลื่อน Deep Tech ศูนย์กลาง Fin Tech ระดับโลกชั้นนำ
- ASEAN Roundup เวียดนาม-มาเลเซีย-ไทยเดินหน้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัล
- ASEAN Roundup เวียดนามประเมินภาษีของทรัมป์ฉุดส่งออกไปสหรัฐฯ ลงถึง 1 ใน 3
- รายงาน WEF ชี้อาเซียนมีขีดความสามารถนำโลกการเดินทางท่องเที่ยว แนะต้องเร่งสร้างความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
- ASEAN Roundup กัมพูชาเปิดตลาดค้าชายแดนร่วมเวียดนาม มาเลเซียห้ามสูบบุหรี่ในร้านอาหาร 1 ม.ค.2563
- ASEAN Roundup สำรวจมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจจากผลกระทบโควิด-19 ประเทศสมาชิกอาเซียน




